วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เพื่อนส่งมาแต่ Line Pop จะปิดแจ้งเตือนได้ยังไง





ช่วงนี้แอดมินเบื่อ Line Pop มากครับ ไม่ใช่แค่เราจะเล่นสู้เขาไม่ได้นะครับ คนอื่นได้เป็นแสนเราได้แค่หมื่น แถมเพื่อนมันขยันส่งข้อความมาชวนเล่น Line Pop อยู่นั้นแหละ ก็บอกแล้วว่าเราเล่นสู้เค้าไม่ได้ T T ยังจะส่งมาอยู่ได้ จนไปเจอบล็อกของคุณ Arjin เกี่ยวกับวิธีปิดการแจ้งเตือน Line Pop และข้อความจากแอพอื่นๆ ของ Line ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับ ว่ามีขั้นตอนดังนี้
  1. ลง Line Pop หรือแอพที่ต้องการจะปิดการแจ้งเตือน แล้วเปิด Line Pop ให้เชื่อมต่อกับบัญชี Line ของเราให้เรียบร้อย ไม่งั้นจะไม่มีตัวเลือกให้ปิดการทำงานนะ
  2. เปิด Line แล้วกดที่ More ด้านล่าง เลือก Settings -> Notification -> Advanced Settings แล้วปิดที่ Line Pop ไปซะ หรือถ้ามีแอพอื่นที่ร้องกวนใจก็ปิดไปได้เช่นกัน
  3. ตอนนี้ข้อความที่เพื่อนส่งมาชวนเล่น Line Pop จะไม่เด้งเตือนกวนใจเราแล้ว แต่ข้อความชวนเล่นของเพื่อนก็ยังเข้ามาอยู่ใน Line นะครับ เพราะเราไม่ได้บล็อกเพื่อน
ตามวิธีนี้ก็ลดความน่ารำคาญไปได้พอสมควรครับ แต่ก็มีข้อจำกัดว่าห้ามลบ Line Pop หรือแอพตัวนั้นออกจากเครื่องนะครับ ไม่งั้นมันจะกลับมาเด้งใหม่ แหมมันก็แอบเรื่องมากนะเนี่ย ก็หวังว่าต่อไป Line จะทำให้มันน่ารำคาญน้อยกว่านี้นะ ไม่งั้นแอดมินกลับไปเล่น MSN จริงๆ ด้วย

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีที่โหลด app จาก itunes แล้ว app เด้งเข้าเครื่องเราเลย



เทคนิคง่ายๆ วันนี้ขอตอบคำถามแฟนเพ็จท่านนึงที่ถามเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องการดาวน์โหลดแอปฯ แบบอัตโนมัติ กรณีที่เราโหลดจาก itunes แล้วจากนั้นแอปฯ เหล่านั้นก็จะถูกดาวน์โหลดไปลงที่ iPhone, iPad ของเรา วิธีทำง่ายๆ มากครับมาดูกัน
ฟีเจอร์นี้เรียกว่า Automatic Downloads ที่มีมาพร้อมอยู่แล้วใน iOS 5 และ iOS 6

ตั้งค่าใน iOS 5

ไปที่ Settings> Store  ใต้หัวข้อ Automatic Downloads ให้เลือก Apps เป็น ON

ตั้งค่าใน iOS 6

ไปที่ Settings> iTunes & App Stores  ใต้หัวข้อ Automatic Downloads ให้เลือก Apps เป็น ON
หลักจาเปิดแล้วค่า default ที่เครื่องจะโหลดแอปฯ ใหม่มานั้นเครื่องเราจะต้องเชื่อมต่อ WiFi ก่อน แต่หากใครเน็ตมือถือเหลือหรือต้องการให้มันดาวน์โหลดผ่านเครือข่ายมือถือได้ให้ปรับ Use Cellular Data เป็น On เท่านั้นเอง

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แปลง Profile/Pages ใน Facebook เป็น RSS ได้ด้วย FBRSS.com !


Untitled-1
ผมเคยแนะนำ/รณรงค์ติดตามข่าวสารต่างๆ ผ่าน RSS/Feed กันไปแล้ว (ใครยังไม่รู้จัก RSS คลิกเข้าไปอ่านก่อน) หลายคนที่ติด Feed คงเคยคิดอยากติดตาม Profile หรือ Pages ผ่าน Feed ซึ่งวันนี้ผมก็มีเครื่องมีดีๆ มาแนะนำครับเป็นการแปลง Profile/Pages ใดๆ ก็ได้มาเป็น RSS Feed สำหรับใช้ในการติดตาม
เว็บที่ว่านี้ก็คือ fbrss.com

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปลูกต้นไม้ประจำบ้านตามหลักโหราศาสตร์ไทย



ทิศเหนือ
ให้ปลูกต้นพุทรา หัวว่าน ป้องกันอาคมและเวทย์มนต์ต่างๆ
ทิศตะวันออก
ให้ปลูกต้นไม้ไผ่สีทองหรือสีเหลืองได้ทุกชนิด ต้นมะพร้าวเล็กหรือใหญ่ก็ได้ ป้องกันไข้ร้ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับคนในบ้าน
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ให้ปลูกต้นทุเรียน ขุดบ่อโดยรอบหรือข้างต้นเล็กๆก็ได้และมีน้ำอยู่ในบ่อเสมอ
ทิศตะวันออกเฉียงใต้
ให้ปลูกต้นสารภี ต้นยอ กัน(คำที่ไม่อนุญาตให้ใช้)
ทิศใต้
ให้ปลูกต้นมะม่วง ต้นมะพลับ
ทิศตะวันตก
ให้ปลูก ต้นมะขาม มะยม กันถ้อยความจะเกิดขึ้น และกันภูตผีปีศาจได้อย่างดี
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ให้ปลูกต้นมะกรูด
ทิศตะวันตกเฉียงใต้
ต้นพิกุล ขนุน ราชพฤกษ์ สะเกา กันโทษได้ดียิ่ง
ตามตำราโหราศาสตร์ฉบับโบราณที่ได้เคยศึกษามาท่านว่าผู้ใดถ้าได้ทำ คนจะเกรงขาม ทรัพย์สินจะตามมา อยู่เป็นสุขสำราญดีนะครับ เพราะที่บ้านผมก็ปลูกเหมือนกันก็เป็นดังที่ท่านว่าไว้จริง แต่ทรัพย์สินจะตามมานั้นต้องทำงานนะครับถึงจะตามมาและดีด้วยนะครับ การอยู่เป็นสุขความร่มรื่นความร่มเงาความเย็นสบายของบรรยากาศรอบบ้านการได้ผลประโยชน
์จากต้นไม้ที่เราปลูกการมีความเกรงอกเกรงใจของคนภายนอกเกิดขึ้นจริงลองคิดดูนะครับว่
าเกิดขึ้นอย่างไร

แต่ยังมีข้อห้ามปลูกอีกอย่างหนึ่งภายในบ้านก็คือ

ต้นโพธิ์ เพราะท่านว่าเป็นต้นไม้ประจำวันวาอารามครับ
ต้นไทร เป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่อาจบดบังกระแสลมและดูทึบครึมๆได้นะครับไม่ความปลูกภายในบ้าน

ต้นตะเคียน ท่านว่าเป็นต้นไม้มีผีนางไม้สิงสู่
ต้นยาง ไม่ควรนำมาปลูกเลยก็ว่าได้เพราะนิยมเอามาทำหีบศพครับ
ต้นดอกทอง ตามคำโบราณท่านว่าเป็นที่ชื่อของต้นไม้เป็นลางไม่ดี ทำให้คนในบ้านผิดประเวณีกันเอง ที่ผมเคยเห็นมาคนที่ทำพวกไสยาศาสตร์ นิยมนำมาทำเวทย์มนต์ต่างๆในทางชู้สาวในทางที่ไม่ดีและไม่แนะนำนะครับเพราะผมเห็นคนที
่นำมาใช้เกิดโทษแก่ตัวเองอย่างมากครับ
อย่างไรสุดท้ายนี้การปลูกต้นไม้อีกหลายชนิดดูที่ชื่อด้วยนะครับถ้าชื่อดีเป็นมงคลก็ป
ลูกได้ครับทิศใดก็ได้

ข้อมูลอ้างอิง ตำราโหราศาสตร์ (ฉบับโบราณ)

วัฒนา

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิธีเจริญจิตภาวนา จากหนังสือ อตุโล ไม่มีใดเทียม


วิธีเจริญจิตภาวนา
จากหนังสือ อตุโล ไม่มีใดเทียม
บันทึกโดย พระโพธินันทะมุนี (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต)
รวบรวมและเรียบเรียงโดย รศ. ดร.ปฐม นิคมานนท์
                                       ขวา ค้นศัพท์
        ผู้เขียน(Webmaster)ขอกราบอาราธนาคำสอนเรื่อง "วิธีเจริญจิตภาวนา" ของพระอริยเจ้า หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่บันทึกไว้ในหนังสือ อตุโล ไม่มีใดเทียม (หน้า๔๑๕) มาบันทึกไว้ ณ.ที่นี้ โดยครบถ้วนตามต้นฉบับเดิม  [แต่มีการเพิ่มเติมขยายความคำอธิบายของผู้เขียนโดยใช้อักษรสีนํ้าเงิน] และ เน้นข้อความของท่านที่เห็นความสำคัญโดยสีม่วง  นอกนั้นผู้เขียนได้คงไว้ตามต้นฉบับเดิมอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ [สำหรับท่านที่ต้องการอ่านข้อความของท่านหลวงปู่ล้วนๆโดยไม่มีคำอธิบายของ Webmaster สอดแทรก Linkได้ที่นี่]                
        นักปฏิบัติที่มีความเข้าใจใน ปฏิจจสมุปบาท หรือ ขันธ์๕ โดยเฉพาะผู้ที่เห็น จิต(จิตสังขารหรืออาการของจิต เช่น ความคิด, ราคะ, โทสะ, โมหะ จิตปรุงแต่ง จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ ฯลฯ - หาอ่านรายละเอียดได้ในบทสติปัฏฐาน๔หรือเห็น เวทนา) ในขณะใดๆบ้างแล้ว(จิตตานุปัสสนาและเวทนานุปัสสนา) เช่น เห็นจิตหรือเวทนาขณะที่เกิดขึ้นบ้าง หรือขณะเสื่อม(แปรปรวน)บ้าง หรือขณะดับไปอย่างไม่มีแก่นแกนบ้าง ก็จะเข้าใจได้ง่าย  และขอให้โยนิโสมนสิการในความเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ) หรือปรมัตถสัจจะที่เมื่อธรรมารมณ์หรือความคิดที่กระทบกับจิตแล้ว ย่อมเกิดผลขึ้นเป็นธรรมดา  ประดุจเดียวกับการที่สิ่งต่างๆกระทบกับกาย (โผฏฐัพพะ-กายผัสสะกับสิ่งต่างๆ) ก็จะยังประโยชน์แก่นักปฏิบัติอย่างสูง
พนมพร

วิธีเจริญจิตภาวนา ตามแนวการสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

        ๑. เริ่มต้นอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก  [ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบการปฏิบัติสมถสมาธิ  ทำในขณะจิตตื่นปกติในวิถีชีวิตประจำวันได้ ในช่วงว่างๆ ใจสงบ สบาย แค่ไม่ซัดส่ายส่งออกไปปรุงแต่งในเรื่องต่างๆนาๆ  หรือถ้าต้องการใช้สมาธิก็ใช้ระดับขณิกสมาธิก็พอเพียงแล้ว การใช้สมาธิที่ลึกละเอียดมักจะทำให้เกิดภวังค์และนิมิต เลื่อนไหลไปท่องเที่ยวอยู่ในจิตภายในอันเป็นปฏิปักษ์กับการเจริญวิปัสสนานี้]
        ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว อย่างเดียว
[มีสติแค่รู้อยู่อย่างสบายๆ  แต่ก็ไม่คิด,ไม่คิดนึกปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น  ใหม่ๆก็ยากหน่อยเป็นธรรมดา  เพราะธรรมชาติของจิตปุถุชนโดยทั่วไป ย่อมมักจะส่งส่ายออกไปคิดนึกปรุงแต่งต่างๆนาๆ หรือปรุงแต่งตามสิ่งที่มาผัสสะผ่านทางอายตนะภายใน อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ]
        รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ "รู้อยู่เฉยๆ" ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ  อย่าบังคับ  อย่าพยายาม  อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม
[คือ อย่าปล่อยให้เลื่อนไหลไปตามความคิดนึกปรุงแต่ง หรือการเลื่อนไหลไปตามกำลังอำนาจสมาธิที่ลึกเกินไป เช่น ภาพนิมิต หรือนามนิมิตเช่นความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆนาๆ ที่ผุดขึ้นขณะอยู่ในสมาธิที่ลึกเกินไป  และระวังอาการจิตที่เรียกว่าจิตส่งใน]
        เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ  [แส่ไปตามความคิด,คิดนึกปรุงแต่งต่างๆ   หรือการสอดแส่ไปใน อารมณ์ อันหมายถึงในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จากภายนอกต่างๆที่มากระทบได้] โดยไม่มีทางรู้ทันก่อนเป็นธรรมดา  [จึงหมายถึงต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ถูกต้องไม่ต้องกังวล  และจะเกิดอย่างนี้เป็นประจำเสมอๆ แต่อย่าท้อแท้เพราะเป็นเช่นนี้เป็นธรรมดา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง]สำหรับผู้ฝึกใหม่  ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง [ทำดังนี้ให้เชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง]  เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่[มีสติ] และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ [จิตที่สอดแส่ไปคิด,คิดนึกปรุงแต่งต่างๆนาๆ  หรือปรุงไปใน รูป เสียง ฯ.ที่กระทบ] ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร  เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ [คือสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่าง จิตมีความรู้ตัวอยู่กับที่คือมีสติ  กับ  จิตขณะปรุงแต่งย่อมเกิดการผัสสะจึงย่อมเกิดเวทนาต่างๆเป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นเป็นธรรมดา จึงย่อมเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน  อันจะยังให้เกิดปัญญาหรือญาณอันสำคัญยิ่ง จากการได้เห็นได้หยั่งรู้ได้ด้วยตัวตนเอง-ปัจจัตตัง]
        จากนั้น ค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป [มีสติ  รักษาสติอย่าให้เลื่อนไหลไปสู่สมาธิหรือฌานที่ลึกละเอียดประณีต  เพราะ ณ ขณะนี้เป็นการฝึกสติให้เห็นจิต อย่างต่อเนื่อง มิใช่การมุ่งเน้นทำสมถสมาธิ แต่เป็นการมุ่งเน้นวิปัสสนา ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีก [เป็นธรรมดาโดยธรรมชาติของจิต อีกเช่นเดิม เพราะย่อมเกิดขึ้นบ่อยๆทีเดียวเป็นธรรมดา จึงไม่ต้องท้อแท้หรือหงุดหงิดเมื่อเกิดขึ้น  แต่เมื่อจิตปรุงแต่ง]จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณา และรักษาจิตต่อไป [ขณะที่จิตอิ่มตัว แล้วกลับมารู้ตัวหรือมีสตินั้น  ต้องอุเบกขา คือไม่เอนเอียงไปแทรกแซงด้วยถ้อยคิดกริยาจิตใดๆในเรื่องนั้นอีกด้วย]
        ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้ และบรรลุสมาธิ [เป็นสัมมาสมาธิ เพื่อการวิปัสสนา ที่ไม่ได้มุ่งหวังในความสงบสุขสบายแต่อย่างใด] ในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน "พฤติแห่งจิต" [กริยา อาการ และการกระทำของจิต] โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร [อันจะสั่งสมจนเกิดเป็น สังขาร อันมิได้เกิดแต่อวิชชา  แต่เป็น สังขารที่เกิดแต่วิชชาที่จะนำพาให้พ้นทุกข์อย่างถาวรต่อไป]
        ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อๆ ไป  [เพราะการปฏิบัติขณะจิตฟุ้งด้วยกำลังแรงกล้า ก็จะไม่บังเกิดผลเพราะใจที่ซัดส่ายและเพราะขาดความชำนาญ หรือขาดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในขั้นต้น  ดังนั้นเมื่อไม่เห็นผลได้ด้วยตนเองก็ย่อมเกิดความท้อแท้ หรือวิจิกิจฉาว่าไม่ถูกต้อง อันย่อมบั่นทอนความเชื่อความเข้าใจไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่มีกำลังใจในการปฏิบัติครั้งต่อๆไป]
[ผู้ที่เห็นจิต - จิตสังขาร - สังขารขันธ์อันคือความคิดความนึก และเวทนา ได้แล้วและค่อนข้างสมํ่าเสมอจากความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์๕ อาจข้ามไปที่ข้อ ๒ เลย]
        ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ [เนื่องจากไม่เคยปฏิบัติในแนววิปัสสนาให้เห็นจิต หรือความคิดความนึก หรือเพราะยังไม่มีสัมมาสมาธิอย่างถูกต้อง] ให้ลองนึกคำว่า "พุทโธ" หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต
        พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง [เป็นอุบายวิธีเพื่อหาที่ให้จิตรวมเป็นหนึ่ง เป็นสัมมาสมาธินั่นเอง]
        ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว
        เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึก(ความคิดนึก)ชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้
        ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นสู่อารมณ์ทันที
        เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเองก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง
        ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล" [ข้อกำหนด ข้อบังคับ ตั้งเจตนาเพื่อให้มีความตั้งใจอันแน่วแน่]
        การบริกรรม "พุทโธ" เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป
        แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
        ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่อง ถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของพุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ
        เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคย เปรียบไว้ว่า มีลักษณาการประหนึ่งบุรุษหนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย [แต่ก็ต้องนุ่มนวล ไม่ตึงเครียดจนเกิดอาการต่างๆ]
        เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลา และบั่นทอนความศรัทธาตนเองเลย
        เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อย ๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ [เช่น การคิดนึกปรุงแต่ง,รูป,เสียง ฯ.] ภายนอก ก็ค่อย ๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าว ก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบ และคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึกและ "พฤติแห่งจิต" ที่ฐานนั้น ๆ
[คำบริกรรม  พุทโธ  ก็คือ จิตสังขารหรือสังขาร(สิ่งปรุงแต่ง)อันเกิดแต่จิต หรือความคิดอย่างหนึ่ง ดังนั้นการบริกรรมภาวนาอย่างมีสติ ไม่เลื่อนไหลไปคิดปรุงหรือเลื่อนไหลลงภวังค์ จึงเท่ากับเป็นการฝึกจิตหรือสติโดยตรง ให้เห็นจิต หรือจิตตสังขาร หรืออาการของจิตบางประการ-เจตสิก]
        บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง  สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ธรรมะสอนใจ จาก หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด

ธรรมะ ประจำใจ
พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์

ละได้ย่อมสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข
ละได้ย่อมสงบ

สันดาน
ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้
แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง
ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก

ชีวิตทุกข์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ
จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ
จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ
เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ
เมื่อเราจะออกจากบ้าน ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ
นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย

บรรเทาทุกข์
การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น
เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง
และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ

ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก
เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย

ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด
กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น

ยึดจึงเดือดร้อน
ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโน้น ยึดนี่
ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล
จักรวาลโลกมนุษยนี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก
สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม
ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน
เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

อยู่ให้สบาย
ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น
เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย
อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์
เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง

ธรรมารมณ์
การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง
อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว
ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์

กรรม
ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า
เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว
ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง

มารยาทของผู้เป็นใหญ่
ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง
มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก
คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ

โลกิยะ หรือ โลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้
คนที่เดินทางโลกิยะ ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว
ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม
ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ?
ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ ?
แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน
เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง

ศิษย์แท้
พิจารณากายในกาย พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ
นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รู้ซึ้ง
ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ
เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา

ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์
จะต้องทำด้วยความศรัทธา
ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย

หยุดพิจารณา
คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน
และถ้าภาวะนั้น ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ หยุดพิจารณา
แล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้

บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ
การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก
นี่คือเรื่องของนามธรรม

ทำด้วยใจสงบ
เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ
อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ
เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ
นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก

มีสติพร้อม
จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ
อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ
อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล มาอยู่เหนือความจริง

เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า

พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที
ไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่า ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร
คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น
เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง

คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด

เป็นคติ ธรรมะ ที่ดีมากอีกบทความหนึ่ง สามารถนำไปจดจำเป็น ธรรมะสอนใจ คติสอนใจ ให้แก่ตนปฎิบัติสิ่งที่ถูกที่ควร เมื่อใครปฎิบัติตามก็หวังให้เจริญก้าวหน้ากันทุกคน

ธรรมะ หลักการภาวนา

ธรรมะเป็นของร่มเย็น ถ้าเราภาวนา เราก็ร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา
หลักการภาวนานั้นมีอันเดียว แต่รูปแบบหรือวิธีการนี่ มีนับไม่ถ้วน
หลักของการภาวนาจริงๆ มีไม่มากนะ
ให้มีสติรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง หลักมีเท่านี้เอง

จะรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริงได้
ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง
จิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลางคือ จิตที่มีสัมมาสมาธิ
ตั้งมั่น ไม่ไหลไป ไม่หลงไป
ไม่ลืมเนื้อลืมตัว จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว
มีสติระลึกรู้กาย มีสติระลึกรู้ใจไป ด้วยจิตที่ตั้งมั่น
ไม่ลืมตัว ไม่ไหลตามสิ่งที่จิตไปรู้ จิตตั้งมั่น
รู้แล้วรู้ด้วยความเป็นกลาง

ถ้าไม่เป็นกลาง ความไม่เป็นกลางก็จะเข้าไปแทรกแซง
เช่นเห็นกิเลสเกิดขึ้น อยากละ อยากละ เรียกว่าไม่เป็นกลาง
เห็นกุศลเกิดขึ้น อยากรักษา อยากรักษา เรียกว่าไม่เป็นกลาง
เมื่อไหร่มีความอยากเกิดขึ้น เมื่อนั้นจะมีความดิ้นรนทางใจเกิดขึ้น
แทนที่จะหยุดดิ้นรน กลับดิ้นรนต่อไปอีก


นั้นถ้าเราภาวนาถูกหลัก เรามีสติรู้กาย 
รู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง 
มันสุขก็รู้ มันดีใจที่สุข มันไม่เป็นกลาง มันยินดี ก็รู้ทัน
มีความทุกข์เกิดขึ้น ก็มีสติไประลึกรู้ว่าความทุกข์เกิดขึ้น

เวลารู้ รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง 
จะเห็นความทุกข์อยู่ต่างหาก จิตก็อยู่ต่างหากนะ
ความทุกข์กับจิต คนละอันกัน
ความสุขเกิดขึ้น สติระลึกรู้ จิตตั้งมั่นอยู่
ก็จะเห็นว่าความสุขก็อยู่ต่างหาก
ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้น
ถ้าจิตตั้งมั่น ก็จะเห็นว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง
มันอยู่ต่างหาก มันจะแยกออกไป
ร่างกายเคลื่อนไหว มีสติระลึกรู้
จิตตั้งมั่น ก็จะเห็นร่างกายอยู่ห่างๆ
ร่างกาย กับ จิต ไม่ใช่อันเดียวกัน

มันมีปัญญาขึ้นมา
การจะทำวิปัสสนา การเจริญปัญญา
ปัญญาตัวที่หนึ่งเลย ชื่อนามรูปปริจเฉทญาณ
การแยกรูป แยกนาม ออกจากกัน
แยกรูปกับนาม ออกจากกัน
จะเห็นเลยว่าร่างกายที่หายใจออก หายใจเข้า
ร่างกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน นั้นเป็นสิ่งหนึ่ง
จิตเป็นคนไปรู้มันเข้า


ธรรมะจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ปฏิบัติสมาธิให้สงบอย่างแท้จริง โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

ปฏิบัติทำไมมันถึงยากถึงลำบาก เพราะว่ามันอยาก พอไปนั่งสมาธิปุ๊บก็ตั้งใจว่าอยากจะให้มันสงบ ถ้าไม่มีความอยากให้สงบก็ไม่นั่งไม่ทำอะไร พอเราไปนั่งก็อยากให้มันสงบ เมื่ออยากให้มันสงบ ตัววุ่นวายก็เกิดขึ้นมาอีก ก็เห็นสิ่งที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นมาอีก มันก็ไม่สบายใจอีกแล้ว นี่มันเป็นอย่างนี้ 

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าพูดให้เป็นตัณหา อย่ายืนให้เป็นตัณหา อย่านั่งให้เป็นตัณหา อย่านอนให้เป็นตัณหา อย่าเดินให้เป็นตัณหา ทุกประการนั้นอย่าให้เป็นตัณหา ตัณหาแปลว่าความอยาก ถ้าไม่อยากจะทำอะไรเราก็ไม่ได้ทำ อันนั้นปัญญาของเราไม่ถึง ทีนี้มันก็เลยอู้เสีย ปฏิบัติไปไม่รู้จะทำอย่างไร พอไปนั่งสมาธิปุ๊บ ก็ตั้งความอยากไว้แล้ว 

อย่างพวกเราที่มาปฏิบัติอยู่ในป่านี้ ทุกคนต้องอยากมาใช่ไหม นี่จึงได้มา อยากมาปฏิบัติที่นี้ มาปฏิบัตินี่ก็อยากให้มันสงบ อยากให้มันสงบก็เรียกว่าปฏิบัติเพราะความอยาก มาก็มาด้วยความอยาก ปฏิบัติก็ปฏิบัติด้วยความอยาก เมื่อมาปฏิบัติแล้วมันจึงขวางกัน ถ้าไม่อยากก็ไม่ได้ทำ จึงเป็นอยู่อย่างนี้ จะทำอย่างไรกับมันล่ะ 

อย่าให้ตัณหาเข้าครอบงำในการปฏิบัติ 
การกระทำความเพียรก็เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าว่า อย่าทำให้เป็นตัณหา อย่าพูดให้เป็นตัณหา อย่าฉันให้เป็นตัณหา ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ ทุกประการท่านไม่ให้เป็นตัณหา คือทำด้วยการปล่อยวาง เหมือนกับซื้อมะพร้าว ซื้อกล้วยมาจากตลาดนั่นแหละ เราไม่ได้เอาเปลือกมันมาทานหรอก แต่เวลานั้นยังไม่ถึงเวลาจะทิ้งมัน เราก็ถือมันไว้ก่อน การประพฤติปฏิบัตินี้ก็เหมือนกันฉันนั้น 

สมมุติวิมุติมันก็ต้องปนอยู่อย่างนั้น เหมือนกับมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือกทั้งกะลาทั้งเนื้อมัน เมื่อเราเอามาก็เอามาทั้งหมดนั่นแหละ เขาจะหาว่าเราทานเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขาปะไร เรารู้จักของเราอยู่เช่นนี้เป็นต้น อันความรู้ในใจของตัวเองอย่างนี้ เป็นปัญญาที่เราจะต้องตัดสินเอาเอง นี้เรียกว่าตัวปัญญา ดังนั้น การปฏิบัติเพื่อจะเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เอาเร็วและไม่เอาช้า ช้าก็ไม่ได้ เร็วก็ไม่ได้ จะทำอย่างไรดี ไม่มีช้า ไม่มีเร็ว เร็วก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ทาง ช้าก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ทาง มันก็ไปในแบบเดียวกัน

ตั้งใจทำสมาธิมากเกินไป ก็กลายเป็นความอยาก 
แต่ว่าพวกเราทุกๆ คนมันร้อนเหมือนกันนะ มันร้อน พอทำปุ๊บก็อยากให้มันไปไวๆ ไม่อยากจะอยู่ช้า อยากจะไปหน้า การกำหนดตั้งใจหาสมาธินี้ บางคนตั้งใจเกินไป บางคนถึงกับอธิษฐานเลย จุดธุปปักลงไป กราบลงไป "ถ้าธูปดอกนี้ไม่หมด ข้าพเจ้าจะไม่ลุกจากที่นั่งเป็นอันขาด มันจะล้ม มันจะตาย มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน จะตายอยู่ที่นี้แหละ" 

พออธิษฐานตั้งใจปุ๊บก็นั่ง มันก็เข้ามารุมเลย พญามาร นั่งแพล็บเดียวเท่านั้นแหละ ก็นึกว่าธูปมันคงจะหมดแล้วเลยลืมตาขึ้นมาดูสักหน่อย โอ้โฮ ยังเหลือเยอะ กัดฟันเข้าไปอีก มันร้อนมันรน มันวุ่นมันวาย ไม่รู้ว่าอะไรอีก เต็มทีแล้ว นึกว่ามันจะหมด ลืมตาดูอีก โอ้โฮ ยังไม่ถึงครึ่งเลย สองทอดสามทอดก็ไม่หมด เลยเลิกเสีย เลิกไม่ทำ นั่งคิดอาภัพอับจน แหม ตัวเองมันโง่เหลือเกิน มันอาภัพ มันอย่างโน้นอย่างนี้ นั่งเป็นทุกข์ว่าตัวเองเป็นคนไม่จริง คนอัปรีย์ คนจัญไร คนอะไรต่อมิอะไรวุ่นวาย ก็เลยเกิดเป็นนิวรณ์ นี่ก็เรียกว่าความพยาบาทเกิด ไม่พยาบาทคนอื่น ก็พยาบาทตัวเอง อันนี้ก็เพราะอะไร เพราะความอยาก


ขอขอบคุณบทความจากเว็บธรรมจักร

20 ข้อนี้ เป็นธรรมะสอนใจ

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน 
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด 
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)


20 ข้อนี้ เป็นธรรมะสอนใจนำไว้เตื่อนสติได้ดี ใครปฏิบัติชีวิตยิ่งมีความสุข

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิธีใช้ Dropbox สองบัญชีพร้อมกันในเครื่องเดียว สำหรับเครื่อง Mac



dropbox 600x331 วิธีใช้ Dropbox สองบัญชีพร้อมกันในเครื่องเดียว สำหรับเครื่อง Mac
Dropbox
ผมมี Dropbox อยู่สองบัญชี อันแรกเป็นตัวที่ใช้บ่อย ทำงานต่างๆบนตัวนี้เป็นหลัก(24 GB) ส่วนอีกบัญชี(13 GB) ไฟล์ที่นานๆจะถูกเรียกใช้งานสักครั้งจะถูกเก็บไว้ที่นี้ ตอนใช้ Windows จะใช้วีธีตามลิงค์นี้ในการเปิดใช้งานสองบัญชีพร้อมกัน ส่วนการใช้บน Mac OS X ทำได้ง่ายกว่ามาก ดังนี้ครับ

วิธีใช้ Dropbox สองบัญชีพร้อมกันในเครื่องเดียว สำหรับเครื่อง Mac

  1. เปิดโปรแกรม Terminal
  2. พิมพ์คำสั่ง
    bash
    กด enter
  3. ใช้คำสั่ง(copy ไปวาง)
    HOME=$HOME/.dropbox-alt /Applications/Dropbox.app/Contents/MacOS/Dropbox &
    กด enter
  4. dropbox อีกบัญชีจะโชว์ขึ้นมาบน menu bar แล้ว
    multi account dropbox วิธีใช้ Dropbox สองบัญชีพร้อมกันในเครื่องเดียว สำหรับเครื่อง Mac
    Dropbox สองบัญชีรันพร้อมกัน
ข้อมูลจาก: http://www.makeuseof.com/

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

‘Bangkok Taxi Report’ แอพฯ รายงาน/ร้องเรียนการใช้งาน ‘แท็กซี่ ‘ สำหรับ Android [ฟรี]


เรามักจะเคยได้ยินข่าวที่มีการแนะนำให้ใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับรายงานพฤติกรรมไม่เหมาะสมของการให้บริการแท็กซี่ ซึ่งก่อนหน้านี้จะมีเฉพาะแอพฯ ในระบบ iOS เท่านั้น (ชื่อ Taxi Reporter)
แต่ล่าสุดได้มีคนทำแอพฯ ในลักษณะเดียวกันนี้ แต่เป็นของระบบ Android มาให้ได้ใช้กันแล้วครับ ชื่อแอพว่า Bangkok Taxi Report เป็นแอพสำหรับรายงานการใช้งานแท็กซี่ ไม่ว่าจะเป็นข้อแนะนำติชม หรือกล่าวชื่นชมความมีน้ำใจต่างๆ โดยข้อมูลที่เรากดส่งไปจะถูกส่งตรงไปยังกรมการขนส่งทางบก พร้อมสามารถแชร์ขึ้นสู่ Twitter ได้อีกด้วย
ข้อความแนะนำของผู้พัฒนา
Bangkok Taxi Reportสำหรับผู้ใช้บริการแท็กซี่ในกรุงเทพเพื่อการเดินทางอย่างปลอดภัย
Bangkok Taxi Report เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับผู้ใช้บริการรถแท็กซี่ในกรุงเทพมหานคร บนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ท่านสามารถใช้บริการแท็กซี่ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยมากขึ้น ด้วยฟีเจอร์ความสามารถอันหลากหลาย ดังนี้
- สามารถส่งเรื่องร้องเรียนการให้บริการโดยตรงไปที่กรมการขนส่งทางบก
- รายงานการบริการของแท็กซี่แต่ละคัน ไม่ว่าจะในประเด็นติการบริการหรือชมความมีน้ำใจของแท็กซี่ สู่สังคมออนไลน์บน Twitter @bkktaxireport
- สามารถบันทึกทะเบียนได้สะดวกและรวดเร็ว ด้วยฟีเจอร์ Assisted Auto-Complete มีประโยชน์ในเวลาที่ท่านต้องการจดทะเบียนรถหลายๆคันในเวลาอันสั้น เช่นในเหตุการณ์ที่ท่านถูกปฏิเสธโดยสารหลายๆคัน
- เก็บบันทึกทะเบียนและรายงานร้องเรียนเป็นบันทึกร่าง โดยท่านสามารถกลับมากรอก และส่งรายงานได้ในภายหลังที่ท่านมีเวลาว่าง
- Check In เพื่อบอกเพื่อนๆของท่านถึงสถานะการใช้แท็กซี่ของคุณบน Facebook เหมาะสำหรับสุภาพสตรีที่อาจเจอภัยร้ายจากการใช้บริการแท็กซี่ในยามวิกาล
- เก็บประวัติการโดยสารแท็กซี่ของท่าน เพื่อใช้อ้างอิงในภายหลัง มีประโยชน์ในเหตุการณ์ที่ท่านลืมสัมภาระ/ของมีค่าไว้บนรถ ท่านสามารถนำหมายเลขทะเบียนนั้นมาใช้แจ้งกับทางการเพื่อติดตามสัมภาระได้
- ค้นหาประวัติของแท็กซี่แต่ละคันที่ท่านขึ้นโดยสาร มีประโยชน์หากแท็กซี่ที่ท่านขึ้นโดยสารเคยมีประวัติไม่ดี เพื่อให้ท่านใช้เป็นคำเตือนเพื่อระวังตัว
- โทรติดต่อหน่วยงานการจราจรต่างๆ ไปจนถึงโทรเรียกแท็กซี่ได้จากรายการหมายเลขโทรศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
- ตรวจดูแนวโน้มการคุณภาพให้บริการในพื้นที่ที่ท่านอยู่บนแผนที่ มีประโยชน์เมื่อท่านอาจอยู่ในบริเวณที่แท็กซี่ไม่รับผู้โดยสารบ่อยครั้ง
- ดูข่าวสารเกี่ยวกับการให้บริการแท็กซี่ในกรุงเทพมหานครผ่านแอพพลิเคชั่น
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://bkktaxi.tsadvanced.com
ติดตามเราได้ที่
Twitter: http://www.twitter.com/bkktaxireport
Facebook: http://www.facebook.com/BangkokTaxiReport
*ข้อ ควรทราบ Bangkok Taxi Report ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ/องค์กรใดๆ เป็นเพียงแค่สื่อกลางในการนำส่งข้อมูลเข้าสู่เว็บไซต์ของศูนย์คุ้มครองผู้ โดยสารรถสาธารณะเท่านั้น