วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บทเรียนดี ๆ ที่สอนลูกจากเหตุการณ์น้ำท่วม

บทเรียนดี ๆ ที่สอนลูกจากเหตุการณ์น้ำท่วม:




ภาพจากเอเอฟพี


จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เราคนไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ทำให้คนไทยได้รับความเดือดร้อนนับหลายแสนครอบครัว บางครอบครัวต้องประสบกับปัญหาบ้านเรือนเสียหาย หลายคนหมดเนื้อหมดตัวสูญเสียทรัพย์สิน หลายครอบครัวต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย และกลายเป็นผู้อพยพในแผ่นดินบ้านเกิดของตนเอง และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าไปยิ่งกว่านั้นคือมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำ ท่วมครั้งนี้กว่า 600 คน

แต่ในวิกฤตการณ์เช่นนี้ ถ้าเราวิเคราะห์กันดี ๆ แล้ว เราจะพบว่าในทุกวิกฤติปัญหานั้นมีหลายสิ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนสอนใจ ในเรื่องหลักการดำเนินชีวิตของตัวเราเอง และลูก ๆ อยู่หลายประการ ดังนี้

1.การแสดงความเมตตาและความเสียสละต่อเพื่อนร่วมชาติ

ท่ามกลางภาวะวิกฤติปัญหาที่มีผู้คนที่ต้องประสบกับความทุกข์ลำบาก ทั้งไร้ที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารประทังชีวิต สูญเสียทรัพย์สินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจที่ได้เห็นการแสดงความเมตตาของคนไทยด้วยกันในการ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละต่อเพื่อนร่วมชาติ เช่น มี การบริจาคเงินช่วยเหลือ มีการนำของใช้และทำอาหารไปแจกแก่ผู้ประสบภัย มีบางกลุ่มออกไปช่วยคนและสัตว์ที่ติดอยู่ในบ้านให้สามารถออกมาได้ หรือตัวอย่างของมหาวิทยาลัยรังสิตร่วมกับชุมชนหมู่บ้านเมืองเอก และชุมชนหลักหกที่เสียสละช่วยปกป้องพื้นที่โดยรอบไม่ให้เกิดน้ำท่วม ซึ่งถือเป็นแนวป้องกันน้ำด่านสุดท้ายก่อนถึงตัวเมืองกรุงเทพมหานคร และมีหลายหน่วยงานและหลายสถานที่ได้เปิดเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอีก ด้วย ตัวอย่างดี ๆ เหล่านี้คุณพ่อคุณแม่สามารถนำมาสอนลูกในเรื่องของการแสดงความเมตตาและเสีย สละต่อผู้อื่น โดยทำให้เห็นเป็นแบบอย่างหรือพาลูกไปลงมือทำเองเลยได้ยิ่งดี

2.การดูแลรักษาความสะอาดของแม่น้ำลำคลอง

ผู้เขียนจำได้ว่าคุณครูเคยให้ท่องจำในวิชาสุขศึกษาเมื่อสมัยเด็ก ๆ ว่าห้ามทิ้งขยะลงในแม่น้ำลำคลอง เพราะจะทำให้น้ำเน่าและเกิดมลพิษต่าง ๆ ต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้มีบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการดูแล รักษาสิ่งแวดล้อมที่ผู้ใหญ่ทุกคนควรสอน และย้ำเตือนกับเด็ก ๆ ทุกคนว่าอย่าทิ้งขยะลงในแม่น้ำลำคลอง เพราะ นอกจากจะทำให้น้ำสกปรกแล้ว หากเกิดภัยน้ำท่วมอย่างเช่นคราวนี้ก็จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ในการระบายน้ำได้ ช้ากว่าปกติเพราะมีขยะไปอุดดันตามท่อระบายน้ำต่าง ๆ น้ำก็จะท่วมขังเป็นเวลานาน ซึ่งมีแต่ผลเสียทั้งต่อความเป็นอยู่ ต่อสุขภาพร่างกายที่พอน้ำขังนาน ๆ ก็เน่าเสียเป็นแหล่งเชื้อโรค ทั้งเป็นผลเสียต่อความเป็นอยู่ของสัตว์น้ำต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความสะอาดของแม่น้ำลำคลองกันให้ มากยิ่งขึ้น


ภาพจากเอเอฟพี


3.การนำสิ่งเหลือใช้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในภาวะวิกฤติน้ำท่วม

เช่น เสื้อชูชีพ รองเท้ากันน้ำและเรือ ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นมากสำหรับผู้ประสบภัย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนโดยเฉพาะผู้ประสบภัยต้องการ เข้าตำราว่ามีเอาไว้ให้อุ่นใจ ดังนั้นเมื่อมีความต้องการมากจึงทำให้หาซื้อได้ยากและที่สำคัญราคาสูงจนน่า ตกใจ หลายคนเกิดความคิดสร้างสรรค์นำวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ รอบตัวมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น ทำเสื้อชูชีพจากขวดพลาสติกเปล่า การเอายางรถยนต์เก่ามาทำเป็นเรือ ซึ่งตรงนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูก ๆ ให้เห็นประโยชน์ของสิ่งของเหลือใช้รอบตัวและหัดให้ลูกลองประดิษฐ์สิ่งของ ต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จากวัสดุเหลือใช้ต่าง ๆ ดูและนำมาทดลองใช้จริง ก็จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับลูกได้ด้วย

4.การใช้ชีวิตที่ไม่ตั้งอยู่บนความประมาท

คุณพ่อคุณแม่ควรจะสอนให้ลูกได้เรียนรู้และยอมรับว่าชีวิตของมนุษย์ นั้นไม่มีอะไรที่แน่นอน ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าอีก 1 วินาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นเราควรสอนลูก ๆ ให้ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังและรอบคอบอยู่เสมอ ทั้งสอนให้รู้จักการเตรียมพร้อมกับทุก ๆ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย เช่น เมื่อทางการมีการประกาศว่าจะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติขึ้นเป็นต้นว่าจะมีน้ำ ท่วมมาก สิ่งสำคัญที่เราต้องทำก็คือการจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็น เช่น น้ำดื่ม อาหารแห้ง ยารักษาโรค ไฟฉาย อุปกรณ์ที่จำเป็นต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตให้พร้อมจะได้ดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่ลำบากแก่ตนเองและไม่ ต้องเป็นภาระแก่ผู้อื่น

5.การเรียนรู้ถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ

จากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยมากขึ้น ทั้งความช่วยเหลือที่มีให้แก่กัน และจากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนได้หันหน้ามาพูดคุยกันมากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วละแวกบ้านของผู้เขียนจะเป็นลักษณะต่างคนต่างอยู่ แต่เพราะเหตุการณ์น้ำท่วมทำให้ผู้เขียนต้องออกไปสังเกตดูปริมาณน้ำที่คลอง ใกล้บ้าน และไปในบริเวณพื้นที่น้ำท่วมทุกวัน วันละ2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย จึงทำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนใหม่อีกหลายคน ซึ่งมีทั้งวัยเดียวกัน ต่างวัย ต่างอาชีพการงาน มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดรวมไปถึงการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกันใน สถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้ว นี่นับเป็นสิ่งดีที่ทำให้คิดถึงวัฒนธรรมรากเหง้าดั้งเดิมของคนไทยที่มีความ เป็นมิตร โอบอ้อมอารีต่อกันและกัน ซึ่งมิตรภาพที่ดีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปสอนลูกได้

เหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้ แม้จะไม่รุนแรงเท่าเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นที่มีผู้เสีย ชีวิตและสูญหายนับหมื่นคน แต่ก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ยืดเยื้อและสร้างความเสียหายให้กับ ประเทศชาติและคนไทยเป็นอย่างมาก ผู้เขียนจึงขอส่งกำลังใจให้กับพี่น้องเพื่อนผองชาวไทยทุกคนให้ผ่านพ้นภัย พิบัติในครั้งนี้ไปได้ด้วยความอดทนและอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะเป็นเช่น ไรเพราะแต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว…

คนไทยสู้ๆ !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น