วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รู้สึกถึงได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปสนใจในสิ่งที่รู้สึกนั้น

รู้สึกถึงได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปสนใจในสิ่งที่รู้สึกนั้น

ยุคนี้ เครื่องโทรเลขได้หมดลงไปแล้ว คงไม่มีใครได้ใช้อีกด้วย
แต่ถ้าท่านดูภาพยนต์สงครามในสมัยเก่า ๆ ก็มักจะมีภาพของเครื่องโทรเลขให้เห็นกัน

ผมก็ไม่เคยเห็นของจริง แต่ที่เห็นในภาพยนต์เป็นว่า เมื่อต้นทางส่งโทรเลขมายังปลายทาง ปลายทางจะได้รับเป็นสัญญาณเสียง ติ๊ด ติ๊ด ที่เป็น รหัสมอส พนักงานปลายทางเมื่อได้ยินรหัสมอส ก็จะจดรหัส ติ๊ด ติ๊ด เหล่านี้และแปลออกมาเป็นคำพูดได้

สมมุติว่า ท่านเป็นผู้เยี่ยมชมสถานีรับโทรเลข พอรหัสมอสเริ่มดัง ท่านจะไม่เข้าใจความหมายในรหัสนั้น แต่จะได้ยินเพียงเสียงติ๊ด ติ๊ด เป็นจังหวะ จังหวะ ไป

ในการปฏิบัติธรรม เมื่อท่านได้ยินเสียงติ๊ด ติ๊ด ของรหัสมอสในโทรเลข นี่คือการได้ยินที่ไม่มีการแปลภาษา เพราะท่านไม่รู้จักรหัสมอส คนที่ไม่ได้เรียนรหัสมอส จะได้ยินแบบนี้และรู้เพียงมีเสียงแต่ไม่รู้ความหมายในเสียงนั้น

ถ้าจะเปรียบทางทางธรรมปฏิบัติ การรู้แบบนี้ที่ไม่รู้ความหมาย ก็เป็นการรู้ทาง .ปรมัตถ์ธรรม. แต่สำหรับพนักงานที่เขารู้รหัสมอส เขาจะแปลภาษาเป็นคำพูดคนได้ นี่คือการ .รู้แบบสมมุติ. ในการปฏิบัติธรรม

ในการปฏิบัติธรรมเจริญสัมมาสตินั้น เพียงท่านรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติเท่านั้น จิตของท่านจะรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกาย / ใจ ของท่านอันเป็นการรู้ไปเองแบบอัตโนมัติ และเป็นการรู้แบบปรมัตถ์ธรรม

สมมุติว่า ท่านพาแฟนไปกินไอศกรีมยี่ห้อดังที่รสอร่อยในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง พอเมื่อท่านจับถ้วยไอศรีม ท่านจะรู้สึกได้ถึงความเย็นที่ได้สัมผัส ท่านจะมีเพียงการรู้สึกถึงความเย็น แต่จะไม่แปลภาษาการสัมผัสลงไปกว่านั้นอีกว่า นี่คือเย็น

เพียงท่านรู้สึกได้เท่านั้น อย่างตัวอย่างเรื่องจับถ้วยไอศกรีม ท่านไม่ต้องไปรู้เลยว่า สิ่งที่รู้สึกเรียกชื่อว่าอะไร นี่ท่านก็ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ง่ายใหมครับท่าน

ถ้าท่านมองไม่ออก ก็ลองตอนนี้เลยก็ได้ครับ ไปจับถ้วยน้ำเย็นที่บ้านท่านในขณะที่ตาท่านยังอ่าน blog นี่อยู่

กล่าวในแง่การปฏิบัติ เพียงท่านรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังสัมผัสอยู่เสมอ ๆ ด้วยความรู้สึกตัว ไม่ต้องไปทำอะไรอีก ไม่ต้องไปรู้อะไรอีก เพียงรู้สึกถึงการสัมผัสได้โดยผ่านทางระบบปราสาทปรกติของร่างกายเท่านั้น ท่านก็กำลังปฏิบัติธรรมแล้ว โดยที่ท่านไม่ต้องไปสนใจเลยในคำว่า สมถะ วิปัสสนา เพราะมันไม่จำเป็นที่ต้องไปรู้ 2 คำนี้ด้วยซ้ำไปในการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์

ท่านอาจสงสัยในใจว่า รู้สึกอย่างนี้ แล้วอย่างไงต่อไปละ
ผมจะบอกท่านว่า ให้รู้สึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มาก ๆ บ่อย ๆ เพื่อเป็นการพัฒนากำลังสัมมาสติ ให้มีความตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิครับ
เพราะว่า ตอนที่จะใช้จริงนั้น ท่านจะใช้ตอนที่ จิตมีการปรุงแต่งทางอารมณ์ของจิตใจและความคิด

ถ้าท่านหมั่นฝึกฝนการรู้สัมผัสไปเรื่อย ๆ จนสัมมาสติตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ พอเกิดการปรุงแต่งทางอารมณ์ของจิตใจหรือความคิดขึ้นมา
กำลังความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ ยังคงอยุ่ จะทำให้ ท่านเห็นอาการของอารมณ์ของจิตใจ หรือ เห็นความคิด ที่เกิดขึ้นมาได้ เมื่อท่านเห็นมันได้ มันจะเป็นไตรลักษณ์ จะทำให้จิตท่านปล่อยวางมันได้ในอนาคต

แต่ถ้าสัมมาสติไม่ตั้งมั่นพอ ท่านจะไม่เห็นอารมณ์ของจิตใจ หรือ ไม่เห็นความคิดที่เกิดขึ้น พอท่านไม่เห็นมันเท่านั้น มันจะลากจิตใจท่านเข้าไปภายในและท่านจะถูกอารมณ์ของจิตใจ หรือ ความคิด ครอบงำ ทำให้ท่านไม่เข้าใจอารมณ์ของจิตใจ ไม่เข้าใจความคิด เมือ่ไม่เข้าใจมัน การปล่อยวางก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย

การปล่อยวางอารมณ์ของจิตใจ ปล่อยวางความคิด ได้เมื่อไร ความทุกข์ทางใจของท่านจะมลายหายไปสิ้น และนี่คือการพ้นทุกข์ในขณะที่ยังมีชิวิตอยู่ ผลของมันจะออกมาแบบนี้ครับ

ผมหวังว่า ท่านคงมองเส้นทางการเดินการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ออกนะครับว่า ปฏิบัติอย่างไร แล้วต่อไปเป็นอย่างไร จึงจะหลุดออกจากการครอบงำของทุกข์ทางใจได้

++
ท้ายบทความ
ความคิด นี่ร้ายนัก ถ้าไม่รู้จักมันจริง มันจะคุมท่านจนโงหัวไม่ขึ้น
มันจะหลอกท่านว่า ต่าง ๆ นานา และจะทำให้ท่านทุกข์อยู่โดยที่ท่านไม่รู้ตัวว่าท่านกำลังทุกข์เพราะโดนมันคุมไว้แล้ว





Create Date : 07 เมษายน 2553
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:11:04 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น